Cryptojacking คืออะไรและทำงานอย่างไร?
ภัยคุกคามทางไซเบอร์มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และภัยคุกคามที่หลอกลวงและแพร่หลายที่สุดในปัจจุบันคือ cryptojacking ซึ่งแตกต่างจากการโจมตีด้วยมัลแวร์แบบเดิมที่มุ่งขโมยข้อมูลหรือล็อกไฟล์ การโจมตี cryptojacking จะแอบขโมยพลังการประมวลผลของอุปกรณ์เพื่อขุดสกุลเงินดิจิทัลโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว บทความนี้จะอธิบายคำจำกัดความของ cryptojacking อย่างครอบคลุม ศึกษากลไกของการโจมตี ตรวจสอบการโจมตี cryptojacking ที่เกิดขึ้นล่าสุด และหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์การป้องกัน cryptojacking
คำว่า cryptojacking หมายถึงการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ของเหยื่อโดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อขุดสกุลเงินดิจิทัล แฮกเกอร์จะฉีดมัลแวร์ cryptojacking เข้าไปในอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เซิร์ฟเวอร์ขององค์กร หรือแม้แต่แกดเจ็ต IoT โดยเปลี่ยนอุปกรณ์เหล่านั้นให้กลายเป็นเครื่องขุดสกุลเงินดิจิทัลที่ซ่อนอยู่
ในด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ Cryptojacking ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ โดยผู้โจมตีจะใช้ประโยชน์จาก CPU หรือ GPU ของระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งต่างจากแรนซัมแวร์ที่เรียกเก็บเงินล่วงหน้า Cryptojacking จะใช้ทรัพยากรอย่างเงียบๆ ทำให้ตรวจจับได้ยากขึ้น
ตัวอย่างการขโมยข้อมูลแบบเข้ารหัสได้แก่ สคริปต์ที่เป็นอันตรายซึ่งทำงานบนเว็บไซต์ เมื่อผู้ใช้เยี่ยมชมเว็บไซต์ที่ขโมยข้อมูลแบบเข้ารหัสที่ติดไวรัส เบราว์เซอร์จะรันโค้ดการขุดที่ซ่อนอยู่ ซึ่งใช้พลังงาน CPU โดยไม่ได้รับความยินยอม
การขุดสกุลเงินดิจิทัลทั่วไปต้องใช้พลังประมวลผลมหาศาล Cryptojackers หลีกเลี่ยงต้นทุนด้วยการแฮ็กอุปกรณ์ของเหยื่อ มีสองวิธีหลัก:
- ซอฟต์แวร์ Cryptojacking ที่ฝังอยู่ในไฟล์ดาวน์โหลดที่เป็นอันตราย
- การขุดแบบไดรฟ์บายจากเว็บไซต์ cryptojacking ที่ถูกบุกรุก
เมื่อติดไวรัสแล้ว อุปกรณ์จะขุดสกุลเงินดิจิทัลต่อไปอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ประสิทธิภาพลดลงอย่างมาก
การตรวจจับการขโมยข้อมูลทางคริปโตอาจเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจากทำงานแบบเงียบๆ แต่สัญญาณทั่วไปมีดังนี้:
- ประสิทธิภาพลดลงอย่างกะทันหัน
- ฮาร์ดแวร์ร้อนเกินไป
- การใช้งาน CPU สูงผิดปกติ
- เวลาตอบสนองช้า
แฮกเกอร์เผยแพร่มัลแวร์ขโมยข้อมูลดิจิทัลที่ปลอมตัวเป็นแอปพลิเคชันที่ถูกกฎหมาย ผู้ใช้ติดตั้งมัลแวร์โดยไม่รู้ตัว ทำให้ผู้โจมตีสามารถควบคุมอุปกรณ์ของตนเพื่อขุดได้
เหยื่อจะเรียกใช้สคริปต์การขุดโดยการเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่ขโมยข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งแตกต่างจากการโจมตีที่ใช้ไฟล์ ตรงที่ไม่จำเป็นต้องติดตั้งซอฟต์แวร์
ปฏิบัติการทางอาชญากรรมไซเบอร์ขนาดใหญ่มุ่งเป้าไปที่เซิร์ฟเวอร์บนคลาวด์และเครือข่ายองค์กร โดยยึดทรัพยากรขององค์กรเพื่อการขุดสกุลเงินดิจิทัล
เพื่อตรวจจับการขโมยข้อมูลทางคริปโต ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ใช้:
- การตรวจสอบการใช้งาน CPU และหน่วยความจำ – การเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันอาจบ่งชี้ถึงกิจกรรมการขุด
- การตรวจสอบปริมาณการรับส่งข้อมูลบนเครือข่าย – การดำเนินการขุดจะสร้างการเชื่อมต่อขาออกที่ผิดปกติ
- การใช้เครื่องมือรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์เฉพาะทาง – ซอฟต์แวร์ cryptojacking เฉพาะจะตรวจจับและบล็อคสคริปต์ที่เป็นอันตราย
ผู้ดูแลระบบเครือข่ายสามารถนำโซลูชันการตรวจสอบมาใช้เพื่อตรวจจับการขุด crypto บนโครงสร้างพื้นฐานของเครือข่าย และระบุกิจกรรมการขุดที่ไม่ได้รับอนุญาต
มาตรการป้องกันการขโมยข้อมูลทางคริปโตที่ดีที่สุดได้แก่:
- การติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสที่มีชื่อเสียง – ช่วยตรวจจับมัลแวร์ที่ขโมยข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต
- การอัปเดตซอฟต์แวร์เป็นประจำ – แพตช์ความปลอดภัยจะปิดช่องโหว่
- หลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดที่น่าสงสัย – การติดเชื้อจำนวนมากเริ่มต้นจากการติดตั้งซอฟต์แวร์ที่ไม่ได้รับอนุญาต
- การบล็อกสคริปต์การขุด – ส่วนขยายเบราว์เซอร์จะป้องกันเว็บไซต์ cryptojacking จากการรันโค้ดการขุด
การนำการป้องกัน cryptojacking ที่แข็งแกร่งมาใช้ต้องมี:
- การใช้โซลูชั่นการรักษาความปลอดภัยปลายทางเพื่อสแกนไวรัส cryptojacking
- การให้ความรู้แก่พนักงานในการจดจำความพยายามในการฟิชชิ่ง
- การใช้เครื่องมือรักษาความปลอดภัยเครือข่ายเพื่อตรวจจับการขโมยข้อมูลแบบเรียลไทม์
การโจมตีด้วย Cryptojacking ที่เกิดขึ้นล่าสุดหลายครั้งได้มุ่งเป้าไปที่ธุรกิจและบุคคลทั่วไป ซึ่งแสดงให้เห็นถึงขอบเขตที่เพิ่มมากขึ้นของภัยคุกคามทางไซเบอร์นี้ กรณีที่โด่งดัง ได้แก่:
- Cryptojacking บนคลาวด์ที่กำหนดเป้าหมายไปที่เซิร์ฟเวอร์ขององค์กร
- Cryptojackers ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ในอุปกรณ์ IoT
- แคมเปญ Cryptojacking ขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์หลายพันแห่ง
เมื่อสกุลเงินดิจิทัลมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ผู้ขโมยข้อมูลจะค้นหาวิธีในการใช้ประโยชน์จากระบบที่มีความเสี่ยงต่อไป การทำความเข้าใจความหมายของการขโมยข้อมูล การจดจำสัญญาณ และการนำกลยุทธ์ป้องกันการขโมยข้อมูลมาใช้ถือเป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องสินทรัพย์ดิจิทัลและพลังการประมวลผล บุคคลและองค์กรสามารถตรวจจับการขโมยข้อมูลได้ก่อนที่จะก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรง โดยการติดตามข้อมูล ตรวจสอบระบบ และใช้เครื่องมือรักษาความปลอดภัย
- Cryptojacking หมายถึงอะไร?
- Cryptojacking คือการใช้พลังการประมวลผลของอุปกรณ์โดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อขุดสกุลเงินดิจิทัล โดยมักไม่อยู่ในความรู้ของผู้ใช้
- Cryptojacking ทำงานอย่างไร?
- แฮกเกอร์แพร่เชื้อให้กับอุปกรณ์ด้วยมัลแวร์ cryptojacking หรือใช้สคริปต์บนเว็บไซต์ cryptojacking เพื่อยึดพลังการประมวลผลสำหรับการขุด crypto
- สัญญาณของ Cryptojacking มีอะไรบ้าง?
- ประสิทธิภาพการทำงานลดลงกะทันหัน การใช้งาน CPU สูง ฮาร์ดแวร์ร้อนเกินไป และระบบทำงานช้าลงผิดปกติ อาจบ่งชี้ถึงการโจมตีแบบ Cryptojacking
- Cryptojacking สามารถแพร่ระบาดไปยังอุปกรณ์พกพาได้หรือไม่?
- ใช่ มัลแวร์ cryptojacking สามารถกำหนดเป้าหมายไปที่สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วและประสิทธิภาพการทำงานลดลง
- ฉันจะตรวจจับการขโมยข้อมูลทางคริปโตได้อย่างไร
- ใช้เครื่องมือความปลอดภัยเพื่อตรวจจับ cryptojacking ตรวจสอบการใช้งาน CPU ตรวจสอบกิจกรรมเครือข่ายที่ไม่ได้รับอนุญาต และตรวจสอบส่วนขยายของเบราว์เซอร์
- Cryptojacking มีประเภทใดบ้าง?
- การขโมยข้อมูลแบบเข้ารหัสบนไฟล์ การขโมยข้อมูลแบบเข้ารหัสบนเบราว์เซอร์ และการขโมยข้อมูลแบบเข้ารหัสระดับองค์กร เป็นประเภทหลักๆ
- Cryptojackers ทำเงินได้อย่างไร?
- Cryptojackers ขุดสกุลเงินดิจิทัลโดยใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ที่ขโมยมา และแสวงหากำไรในขณะที่เหยื่อพบว่าประสิทธิภาพของระบบลดลง
- ฉันจะป้องกันการขโมยข้อมูลแบบ Cryptojacking ได้อย่างไร?
- ใช้โซลูชั่นความปลอดภัยทางไซเบอร์เพื่อป้องกันการขโมยข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต คอยอัปเดตซอฟต์แวร์ บล็อกสคริปต์การขุด และหลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดที่น่าสงสัย
- การโจมตี Cryptojacking ล่าสุดมีอะไรบ้าง?
- การโจมตี cryptojacking ล่าสุดมีเป้าหมายเป็นเซิร์ฟเวอร์บนคลาวด์ เครือข่ายธุรกิจ และอุปกรณ์ IoT ส่งผลให้เกิดการขุด crypto ขนาดใหญ่
- Cryptojacking ผิดกฎหมายหรือไม่?
- ใช่ Cryptojacking เป็นรูปแบบหนึ่งของการก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ เนื่องจากการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้